Translate

4 Step พื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง


เศรษฐกิจพอเพียง

4 Step พื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับครอบครัว และตัวเราเอง

ความคิดไม่หยุดยั้ง การกระทำไม่หยุดหย่อน พักผ่อนพอประมาณ
คำว่าพอเพียง เพียงพอ หรือพอประมาณ โดยความหมายแล้วใกล้เคียง หรืออาจให้นิยามความหมายอันเดียวกันก็ได้ครับ ผมเคยได้ยินจากปากของปราชญ์ชาวบ้านท่านหนึ่งบอกว่า..เบสิคแรกของการทำเกษตรก็คือ ปลูกทุกอย่างที่เรากิน”…และแน่นอนครับในยุคที่สภาวะอากาศผันผวน ลมฟ้าแปรปรวน ก็ได้ยินข่าวว่ามีน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ยังงัยก็ของแสดงความเสียใจ และเห็นใจคนที่ประสบเหตุการณ์นั้นด้วยนะครับ แต่ถึงทรัพย์สินจะเสียหายมากน้อยเพียงใด ของเพียงแต่เราอย่าท้อแท้ อย่าผันแปรไปตามสิ่งที่มันเอากลับคืนมาไม่ได้ เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป เราก็มาเริ่มต้นใหม่ คิดใหม่ เพื่อวันพรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไป สู้ต่อไปนะครับพี่น้อง

สำหรับวันนี้ขอนำเสนอ 4 Step พื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง ที่หากใครนำไปใช้ หรือไปปฏิบัติแล้ว รับรองสามารถลดรายจ่าย แถมสร้างรายได้ ได้อย่างแน่นอนครับ

1.ปลูกทุกอย่างที่เรากิน
ลองนึกดูสิครับ ที่เราๆ ท่านๆ ทำงานหาเงินมาทุกวันนี้เพื่ออะไร อย่างแรกเลยก็คือ เพื่อปากท้องถูกไหมครับ โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองอะไรมากนัก ตอนที่ผมลาออกจากงานก็มีเงินติดตัวมาเป็นทุนเพียงไม่กี่หมื่นบาท แถมบ้านยังสร้างไม่เสร็จอีกด้วยซ้ำ แต่ก็พอมีที่บังแดดบังฝน ไม่ทนหนาวครับ  เมื่อมาอยู่บ้าน (ลาออกจากงาน) สเต็ปแรกของผมเริ่มเลยครับ ขุดแปลงเพาะกล้าพริก มะเขือ โหระพา กระเพา แมงลัก ข่า ตะไคร้ มะละกอ (ตอนนี้ได้กิน ได้ขายนิดๆ หน่อยๆ ครับ) สเต็ปสองปลูกไม้ผลครับ ก็มีลำไย มะม่วงมัน มะม่วงเปรี้ยว เงาะ ลิ้นจี่ กระท้อน ฝรั่งแป้นสีทอง ไผ่หวาน แต่กว่าที่เราจะได้กินผลก็ต้องรออีกหลายปี รอแล้วอดสิครับ ปลูกพืชระยะสั้น 15  20 วันได้กินเสริมเข้ไปเลย ผมเลือกปลูกฟักทอง ข้างไม้ผลที่ผมปลูกไว้ ปลูกบวบ ปลวกถั่วข้างรั้วบ้าน เก็บกินหลายรุ่นแล้วครับ ก็มีขายไปบางส่วน แถมยังได้แบ่งเพื่อนบ้านอีกด้วย สเต็ปสามขุดบ่อเลี้ยงปลาดุกในบ่อพลาสติก และท่อซีเมนต์ ทำโรงเรือนเพาะเห็ดนางฟ้าครับ (ติดตามในบทความต่อไป)

2.ทำบัญชีครัวเรือน ตรวจสอบค่าใช้จ่าย
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากครับ ประโยชน์ของการทำบัญชีครัวเรือนก็เพื่อให้เราได้ตรวจสอบตัวเอง ได้รู้จักตัวเอง ได้วางแผนการใช้จ่ายอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะคนที่ชอบดื่มเหล้า (ตัวเองหรือเปล่าเนี่ย..) ไม่เชื่อลองทำบัญชีดูสิครับ ลงบันทึกทุกครั้งที่ซื้อ แล้วสรุปยอดรายวัน รายเดือน รายปี เห็นแล้วจะหนาว..กว่าอากาศในช่วงหน้าหนาวอีกนะ..จาบอกให้

3.ทำเกษตรแบบชีวภาพ งดใช้สารเคมี
อันนี้สำคัญไม่แพ้กันครับ การทำเกษตรแบบชีวภาพ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเกษตรอินทรีย์ ก็คือการทำเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมีทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าหญ้า ยาคุมวัชพืช ยาปราบศัตรูพืช ต่างๆ ซึ่งสารพวกนี้จะมีฤทธิ์ที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ใช้ และที่สำคัญเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วยครับ  ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมเป็นเด็ก คุณยายของผมปลูกผักเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นพริก มะเขือ ฟักทอง ต่างๆ ก็ไม่เห็นต้องใช้ยา หรือใช้ปุ๋ยเคมีอะไรมากมายเหมือนสมัยนี้ ใช้แค่มูลสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้ พืชผักก็มีกินตลอด แถมออกดอก ออกผลดก มีให้กินตลอดปีครับ และจากการที่ผมได้ศึกษาหาความรู้มาคร่าวๆ ก็คือ การใช้ยาปราบศัตรูพืชประเภทที่เป็นสารเคมี นอกจากจะปราบศัตรูพืชแล้ว ยังปราบจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืชที่เราปลูกอีกด้วยครับ กล่าวคือฤทธิ์ของสารพวกนี้จะไปทำลายจุลินทรีย์กลุ่มสร้างสรรค์ ที่มีอยู่ในดินที่เราทำเกษตรจนไม่เหลือที่จะปรุงอาหาร หรือย่อยสลายอินทรียวัตถุให้กลายเป็นอาหารสำหรับต้นพืช แล้วอย่างนี้ผลผลิตจะเพิ่มได้อย่างไรล่ะครับ

4.หาสาระสิ่งของก่อนซื้อ
มีคำพูดอยู่คำหนึ่งที่ผมได้ยินแล้ว ทุกวันนี้ยังติดตรึงอยู่ในใจไม่มีวันลืมครับ คำพูดนี้เป็นของท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ซึ่งท่านเป็นประธานชมรมกัลยาณธรรม ท่านบอกสอนเอาไว้ว่า หากจะซื้ออะไร ก็ให้ดูที่สาระของสิ่งของนั้นก่อน” หมายถึงให้เราตระหนักถึงสาระประโยชน์ หรือความจำเป็นทางด้านการใช้งานจริง ๆ ไม่ใช่ซื้อตามยุคตามสมัยนิยม อัพเกรตตามแฟชั่น ยังงัยก็ตามมันไม่ทันหรอกครับ ยิ่งโลกพัฒนามากขึ้นทุกวัน สินค้าใหม่ๆ แฟชั่นใหม่ๆ ออกมาเรื่อย หากเราวิ่งตามเราจะเหนื่อยเปล่าครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ หากเราอยากจะซื้อมือถือสักเครื่อง สาระของมันก็คือสำหรับโทรเข้า-โทรออก ติดต่อธุรกิจค้าขาย ก็ว่ากันไป  ลองพิจารณาดูสิครับ คุณสมบัติที่ผมกล่าวมา ระหว่างโทรศัพท์เครื่องละ 1000 บาท กับเครื่องละ 3000-5000 บาท ที่สามารถโทรเข้า-ออก ได้เหมือนกัน ติดต่อพูดคุยกันได้เหมือนกัน....แล้วเราจะเลือกแบบใหนดีล่ะครับ ระหว่างเทกระเป๋าจนเกลี้ยง  หรือเปิดกระเป๋าแล้วปิดแบบสบายๆ